คอลัมน์: ผมรักกีฬามากกว่าเมีย

โดย: ปองธรรม สุทธิสาคร

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ยอดนักเทนนิสชาวสวิตเซอร์แลนด์ คว้าแชมป์ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น มาครองอย่างยิ่งใหญ่

นี่คือแชมป์แกรนด์แสลมครั้งที่ 20  ในชีวิตของเขา เป็นแชมป์แกรนด์แสลมที่มากที่สุดเหนือกว่านักเทนนิสชายคนใดๆในโลกใบนี้ ที่สำคัญเขาคว้าแชมป์ได้ในขณะที่มีอายุปาเข้าไป 36 ย่างเข้า 37 ปี

ด้วยตัวเลขขนาดนี้หลายคนเลือกที่จะแขวนแร็กเก็ตไปทำอย่างอื่น หากแต่เฟเดอเรอร์ ยังยืนตระหง่านอยู่บนคอร์ดเทนนิสที่เขารักที่ มากกว่านั้นเป็นการยืนอยู่อย่างมีคุณภาพ ปัจจุบันในวัยใกล้ 40 ปี เขามีคะแนนสะสมเป็นมือวางอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ ราฟาเอล นาดาล คู่รักคู่แค้นจากสเปนเพียงคนเดียวเท่านั้น

หากใครติดตามเทนนิสจะรู้ดีว่าในโลกลูกสักหลาดไม่มีใครที่จะได้รับการยกย่องไปมากกว่า โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ไม่มีแฟนเทนนิสคนใดที่จะไม่ชอบหรือไม่ยอมรับในฝีมือของเขาต่อให้คุณเป็นแฟนของ ราฟาเอล นาดาล โนวัค ยอโควิช หรือแม้แต่ แอนดี้ เมอร์เรย์ก็ตามที เฟเดอร์เรอร์ ก็ยังจะเป็นหนึ่งในคนที่คุณให้การยกย่องอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในด้านผีมือยอดนักหวดจากแดนนาฬิกา เป็นนักเทนนิสที่มีจุดอ่อนน้อยมาก ครบเครื่องทั้งบู๊และบุ๋น วางแผนและแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นเลิศ เก่งทั้งการยืนตีในคอร์ทและการขึ้นโจมตีหน้าเน็ต ยิงลูกวินเนอร์ขนานเส้นได้ทั้งโฟร์แฮนด์และแบ็คแฮนด์ เสิร์ฟลูกได้ทั้งแบบเน้นน้ำหนัก ทิศทาง และแบบปั่นโค้ง ฯลฯ บางคนถึงกับบอกว่าจุดอ่อนของเฟเดอเรอร์นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่จุดอ่อน หากแต่คือจุดแข็งที่น้อยที่สุดต่างหาก

มิเพียงแต่ได้รับการยอมรับในด้านฝืมือเท่านั้นหากแต่ โรเจอ เฟเดอเรอร์ ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นนักกีฬาสุภาพบุรุษ ไม่เคยมีข่าวในทางเสียหาย ทำงานการกุศลและช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ เป็นแฟมิลี่แมน ยกย่องให้เกียรติคู่ต่อสู้ และขึ้นชื่อเรื่องความเยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง

ไม่ว่าสถานการ์ณในเกมจะกดดันขนาดไหน แทบไม่เคยเห็นเฟเดอเรอร์ หงุดหงิด โมโห ขว้างปาแร็กเก็ต หรือแม้แต่ออกแอ็คชั่นสะใจ อาจมีโต้แย้งกับกรรมการบ้าง หากแต่ทุกอย่างก็อยู่ในเกม ความเป็นสุภาพบุรุษของเฟเดอเรอร์ ไม่เพียงแต่จะได้รับการยกย่องในโลกเทนนิส หากแต่ยังได้รับการยอมรับนับถือจากนักกีฬาทั่วโลก เรียกว่าหากใครก็ตามนึกถึงสุภาพบุรุษนักกีฬา ชื่อของโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ น่าจะติดอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ

อย่างไรก็ตามโลกใบนี้ ไม่ได้มีแต่สีขาวไปเสียทั้งหมด ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะยืนหยัดเป็นคนดีได้โดยไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียหรือผิดพลาด ก่อนที่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ จะเยือกเย็นเป็นน้ำแข็งเหมือนในวันนี้ เขาเองเคยได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬาแบดบอย ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และพร้อมจะระเบิดอารมณ์ใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขาไม่ถูกใจ

“เมื่อตอนผมเป็นเด็ก ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นเด็กที่แย่มาก ผมหงุดหงิดขึ้โมโหฉุนเฉียวง่าย รักสนุกและชอบเฮฮาปาร์ตี้ ผมหลงตัวเองคิดว่ามีพรสวรรค์มากมาย และมันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเล่นไม่ดี เมื่อกรรมการตัดสินไม่ถูกใจ หรือผมตีลูกไม่ได้อย่างที่ต้องการ บ่อยครั้งผมจะขว้างแร็กเก็ตลงกับพื้น และบ่นกับทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะผมรับไม่ได้ที่ตนเองจะกลายเป็นผู้แพ้”

นักหวดวัย 37 ย้อนกลับไปพูดถึงเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง เด็กวัยรุ่นคนนั้นคือปีศาจที่ฝังอยู่ในร่างของเขาเมื่อราว 20 ปีก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2001 โรเจอร์เฟเดอเรอร์ในวัย 19 ปี ลงแข่งกับ ฟรังโก้ สคิลลารี่ นักหวดหนุ่มจากอาร์เจนติน่า ที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมันนี การแข่งขันเป็นไปอย่างสนุกสนานก่อนจบลงที่ชัยชนะของนักหวดอาร์เจนไตน์ ที่สกอร์ 2-0 เซต 6-3,6-4 เมื่อจบเกมเฟดเดอเรอร์ เดินเข้าไปจับมือกับสคิลลารี่ ก่อนจะระเบิดอารมณ์ ขว้างแร็กแก็ตอย่างแรงไปที่เก้าอี้ของผู้ตัดสิน การกระทำเช่นนั้นไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับแฟนเทนนิสแม้แต่น้อย เฟเดอเรอร์เดินออกจากสนามไปพร้อมกับเสียงโห่และก่นด่าจากแฟนเทนนิสเป็นของขวัญ

ลินแน็ตตี้ แม่ของเขาที่นั่งดูการแข่งขันในวันนั้นอยู่ รับรู้ในทันทีตั้งแต่วินาทีนั้นว่า หากโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ จะก้าวขึ้นเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้ สิ่งแรกที่จะต้องเรียนรู้และแก้ไข ไม่ใช่เรื่องของฝีมือและความสามารถ

สิ่งๆ นั้นคือ การควบคุม  ปีศาจ’ ในตัวเอง

ผมเป็นคนชื่นชอบกีฬาสนุ้กเกอร์มาตั้งแต่ยังเด็ก ในซอยหลังบ้านของผมจะมีกิจการโต๊ะสนุ้กของเฮียตี๋เปิดให้บริการอยู่ โต๊ะสนุ้กฯ ของเฮียตี๋เป็นโต๊ะแบบบ้านๆ ไม่มีห้องแอร์ คนที่มาแทงนิยมเล่นการพนันมากกว่าออกกำลังกาย โดยนอกจากโต๊ะสนุ้กฯ แล้วยังมีตู้ม้า ไฮโล และการเสี่ยงโชคอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย ที่นั่นมีสภาพไม่ต่างอะไรจากบ่อนการพนันขนาดย่อม แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีอะไรที่ว่าหลงเหลืออยู่เลยก็ตาม

โต๊ะสนุ้กฯ เฮียตี๋เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่ผมมักจะเข้าไปเยี่ยมเยียนอยู่เป็นประจำ นอกจากผมแล้วที่นั่นยังเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นในย่านห้วยขวางมากมาย และเอ้ก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ผมรู้จักในโต๊ะเฮียตี๋

แม้จะเป็นวัยรุ่นและเรียกขานกันอย่างเพื่อน แต่ความจริงแล้วเอ้มีอายุมากกว่าผมร่วม 3 ปี เอาเป็นว่าผมเรียนอยู่ ม.3 เอ้ก็อยู่ ม.6 เตรียมตัวกระโดดเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ด้วยความที่ผมเป็นเด็กเล็กกว่า ผมจึงถูกเอ้แกล้งอยู่บ่อยๆ  ไม่ล้อเลียนบ้างก็ไถตังค์บ้าง หรือบางทีกำลังวางมือแทงสนุ้กฯ อยู่ เอ้ก็ผลักไม้คิวผมจากด้านหลัง บางครั้งก็แกล้งดึงกางเกงผมลงแล้วหัวเราะเยาะ

แน่นอนว่าเมื่อโดนแบบนี้เข้าบ่อยๆ ผมก็เริ่มฉุนเฉียว จากความไม่พอใจเริ่มกลายเป็นความคับแค้น ไม่ต่างอะไรจากการสะสมดินปืนในลูกระเบิด จนในที่สุดวันที่ผมทนไม่ไหวก็มาถึง

จำได้ว่าเอ้ดึงกางเกงผมในขณะกำลังตั้งท่าแทงสนุ้กฯ อยู่หลายครั้ง ผมพยายามอดทนมาก ก่อนที่จะถึงครั้งสุดท้ายผมส่งสัญญาณเตือนเอ้ด้วยคำพูดสั้นๆ ไปว่า “เดี๋ยวอีกทีนะมึง” เอ้ตอบกลับมาเพียงสั้นๆ ว่า “อีกทีแล้วจะทำไมวะ” ว่าแล้วในการแทงไม้ต่อไปของผมเอ้ก็ดึงกางเกงผมลงอีกครั้ง และเมื่อนั้นความอดทนผมก็หมดลงทันที

ผมกลายเป็นคนไม่มีสติ เหมือนถูกผีเข้าสิง ไม้สนุ้กที่อยู่ในมือของผมกระหน่ำฟาดเข้าที่หัวเอ้ไม่ยั้ง วินาทีนั้นผมไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นอะไร ไม่ได้สนใจว่าจะบาดเจ็บหรือว่าเสียชีวิต ผมกระหน่ำตีหัวเอ้อยู่อย่างนั้นจนในที่สุดคนในโต๊ะต้องมาล็อคตัวผมออกไป ผมยังกรีดร้องเหมือนผีเข้า ส่วนเอ้นั้นแทบไม่ต้องถามสภาพ แต่เอาเป็นว่าโชคดีที่เขาไม่ได้พิการหรือเสียชีวิต

จำได้ว่าหลังจากเหตุการณ์สงบลง ผมได้แต่ปิดหน้าร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องนอน ผมไม่ได้กลัวเหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น หากแต่เป็นความรู้สึกที่ผมรู้สึกรังเกียจตัวเอง

มันเป็นด้านมืดที่อยู่ในตัวผม ผมไม่ได้อยากให้มันหลุดออกมา

แต่ในวินาทีนั้นผมไม่รู้ว่าจะควบคุมมันได้อย่างไร

หลังการขว้างแร็คเกตใส่ผู้ตัดสินที่ฮัมบูร์ก ในเวลานั้นไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าโรเจอร์ เฟเดอเรอร์จะกลายมาเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเป็นเจ้าของสถิติมากมายในโลกลูกสักหลาด

ทุกคนคิดว่าอย่างดีเขาก็คงเป็นได้แค่ดาวรุ่งที่โดดเด่นขึ้นมาชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็หล่นลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ไม่ต่างอะไรจากพลุที่เสียงดังและสวยงามอยู่บนท้องฟ้าแค่ไม่กี่วินาที

หลังจบเกม ลินเน็ตตี้ แม่ของเฟเดอเรอร์ตัดสินใจพูดกับลูกชายของเธอตรงๆ เธอบอกลูกว่าเมื่อใดก็ตามที่อยู่ในคอร์ดหากเขาระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นนี้ นั่นหมายถึงการส่งสัญญาณบอกคู่ต่อสู้ว่าเตรียมตัวพร้อมแล้วที่จะพ่ายแพ้ พร้อมกันนั้นเธอยังกระตุ้นถามโรเจอร์กลับไปด้วยว่า ‘หรือความพ่ายแพ้มันเป็นสิ่งที่คุณต้องการ?’

“มันเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต แต่เมื่อเขาแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมา เราก็ต้องบอกเขาตรงๆ ว่ามันแย่และเราผิดหวังกับมัน ฉันบอกกับเขาว่าคุณต้องสู้ เมื่อคุณเสียเปรียบหรือทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ คุณยิ่งต้องพยายามควบคุมตัวเอง ดึงตัวเองกลับมา ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นหายนะทุกครั้ง” ลินเน็ตตี้รำลึกความหลัง

คำพูดเตือนสติของหญิงผู้ให้กำเนิดในวันนั้น ค่อยๆ ทำให้เด็กหนุ่มวัย 19 เริ่มที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง ในช่วงแรกทุกสิ่งทุกอย่างอาจยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก โรเจอร์ยังเผลอมีอาการน็อตหลุดบ้างในบางเวลา อย่างไรก็ตามเขาพยายามค่อยๆ ควบคุมปีศาจในตัวเอง จากเด็กหนุ่มที่เร่าร้อนเป็นกองเพลิง เฟเดอเรอร์ค่อยๆ สงบนิ่งและเยือกเย็นขึ้น ที่สุดหลังจากนั้นเพียง 2 ปี เขาก็ผงาดคว้าแชมป์แกรนด์แสลมครั้งแรกในชีวิตในเทนนิสวิมเบิลดันปี 2003 ก่อนที่หลังจากนั้นจะสถาปนาตัวเองกลายเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตลอดกาล และแทบจะไม่มีใครในโลกเกลียดชังเขาเลย

“บางทีการขว้างแร็คเกตที่ฮัมบูร์ก อาจเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตการเล่นเทนนิสของผม ผมไม่ได้แพ้แค่การแข่งขัน แต่สิ่งที่ผมแพ้มากกว่านั้นคือทัศนคติ

“สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้ว่าผมจะต้องเติบโต และต้องไม่แสดงอะไรแบบนั้นออกมาอีก”

จะด้วยความสูงวัยหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในวัยเกือบ 40 ผมรู้สึกว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความโมโหหรือเกรี้ยวกราดเสียเลย ความไม่พึงพอใจในสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็เท่าทันอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น แล้วก็หาทางดับมันลงได้ทัน

มนุษย์ทุกคนประกอบด้วยความดีและความเลวในตัวเอง ไม่มีใครหรอกที่เป็นนักบุญโดยไม่มีความเป็นปีศาจซุกซ่อนอยู่ในตัวเอง

ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หมอ ครู วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ไพร่ ขอทาน กระทั่งพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด หรือบุคคลที่เรานับถือล้วนมีปีศาจในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น หากคุณได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยปล่อยให้โทสะหรือความรัก โลภ โกรธ หลง เข้าครอบงำจิตใจ

อย่างไรก็ตามหากคุณอยากที่จะก้าวไปข้างหน้า ประสบความสำเร็จในชีวิต หรืออย่างน้อยต้องการใช้ชีวิตให้มีความสุขกับเวลาที่เหลืออยู่ ปัจจัยประการหนึ่งที่จะต้องและควรทำให้ได้ก็คือ การไม่ปล่อยให้ปีศาจมีอำนาจเหนือนักบุญในตัวเอง

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์จะไม่มีทางเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ได้หากเขาเอาแต่ขว้างแร็คเกต ด่าทอกรรมการ มากกว่าการยิงลูกวินเนอร์ ผมเองก็เช่นกันบางทีอาจนอนอยู่ในคุกในตารางมากกว่าจะมานั่งปั่นต้นฉบับให้ทุกท่านได้อ่านกันในวันนี้

โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จ แม้แต่เรื่องของการจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง บางคนอาจจัดการได้ทันที บางคนอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรมีสองสิ่งที่เราต้องยอมรับ

  1. เราทุกคนต่างมีปีศาจในตัวเอง
  2. หากควบคุมหรือยับยั้งมันไม่ได้ หายนะจะกวักมือรอคุณอยู่ปลายทาง

ขอให้ทุกคนเป็นอย่างโรเจอร์ เฟเดอเรอร์นะครับ ผมไม่ได้หมายถึงความเป็นเลิศในการเล่นเทนนิส

หากแต่หมายถึงความเฉลียวฉลาดมากพอที่จะควบคุมปีศาจในตัวเอง